วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

วงจรเเยกเสียงลำโพง

วงจรแยกเสียงลำโพงหรือครอสโอเวอร์ค ทำหน้าที่แยกเสียงลำโพงออกเป็นช่วงๆ ตามความถี่เสียงที่เหมาะสมต่อการทำงานของลำโพงแต่ละตัว ทำให้ลำโพงขับเสียงออกมามีความสมบูรณ์ ชัดเจน นุ่มนวล และความถี่ถูกต้อง โดยไม่เกิดเสียงหักล้างกันหรือเสียงเสริมกัน การกำหนดจุดตัดข้ามความถี่เสียงต้องคำนวณถึงการตอบวนองความถี่เสียงของลำโพง ควรพิจารณาที่ลำโพงเสียงทุ้มเป็นหลัก
วงจรแยกเสียงลำโพงเป็น 2 ทาง แยกเสียงส่งไปลำโพง 2 ช่วงความถี่ คือ ความถี่ต่ำเสียงทุ้ม และความถี่สูงเสียงแหลม แยกวงจรแยกเสียงลำโพงออกไดเป็นออร์เดอร์มี 4 ออร์เดอร์ ออร์เดอร์ที่นิยมใช้งานเป็นแบบออร์เดอร์ที่ 2 ความลาดเส้นกราฟที่จุดตัดข้าม 12 dB/ออกเตฟ ใช้ค่า L, C จัดวงจรอย่างละ 2 ตัว การเลือกค่า L, C มาใช้งานต้องเลือกค่าที่เหมาะสม เพื่อให้วงจรทำงานได้สมบูรณ์
วงจรแยกเสียงลำโพง 3 ทาง แยกเสียงส่งไปลำโพง 3 ช่วง ความถี่ คือความถี่ต่ำเสียงทุ้ม ความถี่กลางเสียงกลาง และความถี่สูงเสียงแหลม ความถี่ที่ใช้ในจุดตัดข้ามความถี่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำโพงเสียงทุ้มการต่อลำโพงเข้ากับวงจรเสียงลำโพง ต้องคำนึงถึงขั้วบวก-ลบ ทั้งของวงจรแยกเสียงและของลำโพง ต้องต่อให้ถูกต้องตรงกัน เพื่อให้การทำงานของลำโพงทุกตัวมีเฟสการทำงานเหมือนกัน
การต่อใช้งานลำโพงหลายตัวมีประโยชน์ในการใช้งานหลายประการ คือ ช่วยให้เกิดทิศทางการแพร่กระจายคลื่นเสียงครอบคลุมในบริเวณที่ต้องการ ช่วยเพิ่มความดังของเสียงที่ขับออกมาจากลำโพงแต่ละตัว สามารถเฉลี่ยภาวการณ์ทำงานให้ลำโพงทุกตัวได้ และช่วยปรับค่าอิมพีแดนซ์ลำโพงให้เหมาะสมกับเอาต์พุตอิมพีแดนซ์ของเครื่องขยายเสียง การต่อลำโพงหลายตัวทำได้ 3 แบบ คือต่ออนุกรมช่วยเพิ่มอิมพีแดนซ์ลำโพงให้สูงขึ้น ต่อขนานช่วยลดอิมพีแดนซ์ลำโพงให้ต่ำลง และต่อผสมช่วยเพิ่มจำนวนการต่อลำโพงได้มากขึ้น
การต่อลำโพงระยะไกลต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญดังนี้ ลำโพงมีอิมพีแดนซ์ต่ำต่อสายได้สั้น ลำโพงมีอิมพีแดนซ์ยิ่งสูงขึ้น สามารถต่อสายได้ยากขึ้น ใช้สายเส้นเล็กความต้านทานของสายสูงต่อสายได้สั้น ใช้สายเส้นใหญ่ใช้ความต้านทานของสายต่ำลงต่อสายยาวมากขึ้น สิ่งที่ต้องเพิ่มในการต่อลำโพงระยะไกลคือไลน์แมตชิ่งทรานส์ฟอร์มเมอร์ แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ ชนิดอิมพีแดนซ์คงที่ และชนิดแรงดันคงที่

วงจรป้องกันลำโพงและหน่วงเวลา

Speaker Protections..............ชุดป้องกันลำโพงแบบ Stereo  
ขนาดรีเลย์.............................ขนาด 20A จำนวน 2ตัวเพียงพอต่อแอมป์ขนาด1000+1000W
ใช้ไฟเลียงวงจร........................ AC หรือ DC 12Vถึง24V
วงจรTime Delay.....................หน่วงเวลาเปิด  5 Mines  
วงจรตรวจสอบ.........................ตัดการทำงานเมื่อมีไฟ DC รั่วออกลำโพงเพื่อป้องกันไม่ให้ลำโพงเสียหาย


Speaker Protections.............ชุดป้องกันลำโพงแบบ Stereo  
ขนาดรีเลย์..............................ใช้รีเลย์ขนาด 30A จำนวน 2ตัวเพียงพอต่อเพาเวอร์แอมป์กำลังวัตต์ขนาด1500+1500W
วงจรพิเศษ..............................ใช้คู่กับบอร์ด LED Display รุ่น LED V1.0 เชื่อมต่อโดยสายแพร์เพียง 5 เส้นแต่สามาร
                                                     แสดงการทำงานของเพาเวอร์แอมป์ได้อย่างสมบูณร์แบบ Power-On, Signal, Protec, Clip
ใช้ไฟเลี้ยงวงจรแบบ AC..............9V หรือ 18V
ใช้ไฟเลี้ยงวงจรแบบ DC..............12V หรือ 24V
วงจรTime Delay.....................หน่วงเวลาเปิด  5 Mines  
วงจรตรวจสอบ.........................ตัดการทำงานเมื่อมีไฟ DC รั่วออกลำโพงเพื่อป้องกันไม่ให้ลำโพงเสียหาย


Speaker Protections..............ชุดป้องกันลำโพงแบบ Stereo 
ขนาดรีเลย์...............................ใช้รีเลย์ขนาด 20A จำนวน4ตัวขนานกันทำให้เพียงพอต่อเพาเวอร์แอมป์ขนาด2000+2000W
วงจรพิเศษ..............................ชุดป้องกันลำโพงแบบ Stereo ระบบ Dual หรือ แยกกันทำงาน  ซ้าย-ขวา อิสระ
                                                 ใช้คู่กับบอร์ด LED Display รุ่น LED V2.0 เชื่อมต่อโดยสายแพร์เพียง 6 เส้นแต่สามาร


                                                    แสดงการทำงานของเพาเวอร์แอมป์ได้อย่างสมบูณร์แบบ Power-On, Signal, Protec, Clip
ใช้ไฟเลี้ยงวงจรแบบ AC..............9V หรือ 18V
ใช้ไฟเลี้ยงวงจรแบบ DC..............12V หรือ 24V 
วงจรTime Delay.....................หน่วงเวลาเปิด  5 Mines 
วงจรตรวจสอบ.........................ตัดการทำงานเมื่อมีไฟ DC รั่วออกลำโพงเพื่อป้องกันไม่ให้ลำโพงเสียหาย

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โครงสร้างของลำโพง

เสียงเป็นคลื่นตามยาว   เสียงแหลมและทุ้มขึ้นกับความถี่  ส่วนสียงดังหรือค่อยขึ้นอยู่กับขนาดแอมพลิจูดของคลื่นนั้น   เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า  ไมโครโฟนมีหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณทางไฟฟ้า และนำสัญญาณที่ได้ไปบันทึกลงบนเทปคาสเซ็ท  แผ่น CD    หรือเครื่องเล่น MP3 ซึ่งกำลังฮิตกันอยู่ในปัจจุบัน  เมื่อเราต้องการจะนำเสียงที่บันทึกกลับออกมา   ภายในเครื่องเล่นเหล่านี้จะมีหัวอ่านคอยอ่านสัญญาณทางไฟฟ้าที่บันทึกอยู่ในเนื้อเทป  ซึ่งในขณะที่อ่านยังเป็นสัญญาณที่อ่อนมาก  จึงต้องนำเข้าเครื่องขยายสัญญาณก่อน เมื่อได้สัญญาณที่แรงพอแล้วจึงขับออกทางลำโพง กลายเป็นเสียงออกมา          
          ส่วนสำคัญที่สุดของเครื่องเล่นเหล่านี้ก็คือลำโพง  โดยหน้าที่สำคัญสุดของลำโพงคือ  เปลี่ยนสัญญาณทางไฟฟ้าที่ได้มาจากเครื่องขยายเป็นสัญญาณเสียง  ลำโพงที่ดีจะต้องสร้างเสียงให้เหมือนกับต้นฉบับเดิมมากที่สุด  โดยมีการผิดเพี้ยนน้อยที่สุด